วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทย
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษาไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่สะท้อนถึงความห่วงใยของพระองค์เรื่องภาษาไทย โดยทรงชี้แนะพสกนิกรของพระองค์ให้ ตระหนักถึงความสำคัญของภาษา และการช่วยกันธำรงรักษาวัฒนธรรมทางภาษาที่ดีงามของ ชาติไว้มิให้เสื่อมสูญ ดังความตอนหนึ่งว่า “ภาษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบ้านเมือง ขอให้ร่วมมือกันรักษามาตรฐานของภาษาไทยไว้อย่าให้ทรุดโทรม” (อ้างถึงใน พยุงศักดิ์ จันทรสุรินทร์, ๒๕๓๘ : คำนำ)
ภาษาไทยในฐานะเป็นเครื่องมือสื่อสาร ในชีวิตประจำวันของคนไทย ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นลืมตาจนกระทั่งนอนหลับ เราต้องใช้ภาษาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องถือว่า คนไทยเป็นผู้ที่โชคดีที่บรรพบุรุษของเรามีความชาญฉลาด สามารถประดิษฐ์คิดค้นภาษาของตนเองขึ้นใช้ทั้งภาษาพูด และภาษาที่เป็นตัวอักษรใช้แทนเสียง ภาษาไทยจึงเป็นมรดกอันล้ำค่าที่ บรรพบุรุษได้สร้างไว้และถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้น เราในฐานะลูกหลานไทยจึงควรภาคภูมิใจที่ชาติไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติมากว่า ๗๐๐ ปี และภาษาไทยจะยังคงยั่งยืนตลอดไป ถ้าทุกคนตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย ช่วยกันธำรงรักษาและพัฒนาภาษาไทยไว้มิให้ผันแปรไปในทาง เสื่อมโทรมลงไป ดังกระแสพระราชดำรัสที่อัญเชิญมาข้างต้นแล้ว
วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554
26 มิถุนาวันรำลึกสุนทรโวหาร ( ภู่ )
![]() ในสมัยรัชกาลที่ ๑ วันจันทร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนแปด ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๓๘ พระสุนทรโวหาร หรือที่รู้จักกัน ในนามของ "สุนทรภู่" เกิดเมื่อ ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๓๒๙ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ บิดาของท่านเป็นชาวบ้านกร่ำ เมืองแกลง ส่วนมารดาเป็น คนกรุงเทพฯ สันนิษฐานว่าน่าจะทำหน้าที่เป็นพระนมใน พระธิดาของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ภายหลัง ได้แยกกันอยู่โดยไม่ทราบสาเหตุและบิดาของท่านได้ กลับไปอยู่ที่เมืองแกลง ทำให้สุนทรภู่ต้องอยู่กับมารดา จนเติบโตขึ้นจึงได้รับการถวายตัวเป็นข้าราชบริพาร ในกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขนั่นเองสุนทรภู่ได้ เรียนหนังสือตั้งแต่ยังเล็ก ณ สำนักวัดชีปะขาว หรือวัดศรีสุดารามในปัจจุบันดังปรากฏหลักฐาน ที่ท่านสุนทรภู่เขียนไว้ในนิราศสุพรรณ ตอนที่ เดินทางผ่านวัดนี้เมื่อเติบใหญ่ขึ้นได้รับราชการ ในกรมพระคลังข้างสวนซึ่งมีหน้าที่เก็บอากรสวน และวัดระวางแต่ในที่สุดก็ต้องกลับไปอยู่ที่ พระราชวังสถานพิมุขอย่างเดิม ณ ที่นี้จึงได้เกิดรักใคร่ ชอบพอกับข้าราชบริพารหญิงชื่อ "จัน"จนต้องถูกลงอาญา ดังที่สุนทรภู่บรรยายไว้ในนิราศเมืองแกลงซึ่งสุนทรภู่แต่ง ขึ้นในคราวที่เดิน | |
ทางไปพบบิดา หลังจากเกิดเรื่องราว และพ้นโทษแล้ว ในราวปี พ.ศ.๒๓๔๙ หลังจากกลับจากเมืองแกลงสุนทรภู่ได้ถวายตัวเป็นข้าราชบริพารใน พระองค์เจ้าปฐมวงศ์และได้แต่งงานกับ "แม่จัน" คนรักสมประสงค์ แต่ชีวิตคู่ของท่านมักจะมีปัญหาเสมอเพราะสุนทรภู่ชอบดื่มสุราเมามาย เป็นประจำซึ่งในเรื่องนี้สุนทรภู่เขียนไว้ในนิราศภูเขาทอง | |
ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ชีวิตของสุนทรภู่ดีขึ้นถึงขั้นเจริญรุ่งเรือง ที่สุดเพราะสุนทรภู่ได้สร้างผลงานที่แสดงถึงความเป็นยอดด้าน กลอนโดยท่านเป็นกวีผู้หนึ่งที่รัชกาลที่๒ทรงโปรดมาก เนื่องจาก สามารถใช้ปฏิภาณเสนอแนะบทกลอนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระราชประสงค์ที่จะแก้ไขกลอนที่เป็นบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางสีดาผูกคอตาย ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่๑ โดยที่มีเนื้อความกล่าวถึงนางสีดาจะผูกคอตายแต่หนุมานเข้าช่วย ไว้ได้ทันแต่บทพระราชนิพนธ์นั้นใช้กลอนถึง ๘ คำกลอนรัชกาลที่ ๒ ทรงเห็นว่าชักช้าเกินไป ไม่ทันการณ์จึงทรงแก้ไขใหม่เพื่อให้ดีขึ้น แต่ทรงติดขัดว่าจะพระราชนิพนธ์ต่ออย่างไรที่แสดงให้เห็นว่าหนุมาน ได้เข้ามาช่วยได้อย่างทันท่วงทีซึ่งท่านสุนทรภู่ได้กราบทูลกลอนต่อได้ทันที สุนทรภู่คงจะได้แสดงถึงปรีชาญาณของท่านสนองพระเดชพระคุณอีกหลายครั้ง จนในที่สุด รัชกาลที่ ๒ จึงได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น"ขุนสุนทรโวหาร" กวีที่ปรึกษาในกรมพระอาลักษณ์ผลงานที่สร้างชื่อเสียงอีกชิ้นหนึ่งในขณะนั้น คือบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงามในขณะที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์นั้น กลับต้องตกอับลงเพราะการดื่มสุราเป็นสาเหตุถึงขั้นต้องถูกลงอาญาด้วย การจำคุกเป็นที่สันนิษฐานกันว่า "พระอภัยมณี" ได้เกิดขึ้นในขณะที่ถูกจำคุกครั้งนี้เอง ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๔ - ๒๓๖๗เป็นช่วงที่สุนทรภู่พ้นจากโทษแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงทราบดีถึงความสามารถของท่านจึง ได้โปรดเกล้าฯให้สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรเจ้าฟ้าอาภรณ์เจ้าฟ้ากลาง และเจ้าฟ้าปิ๋ว ซึ่งเป็นพระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์จนเกิดวรรณคดีสำคัญอีก ๒ เรื่องคือ สวัสดิรักษาและสิงหไกรภพ |
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๖๗ สิ้นรัชกาลที่๒แล้ว ชีวิตของสุนทรภู่ต้องตกระกำลำบากจน ถึงขั้นถูกถอดยศและต้องหนีราชภัยด้วยไม่เป็นที่ทรงโปรดของรัชกาลที่ ๓ ดังที่ท่านพรรณนาความไว้ในนิราศภูเขาทองตอนหนึ่งจากการที่ไม่ทรงโปรดสุนทรภู่ ดังหลักฐานจากการที่เมื่อมีการประชุมเหล่ากวีในสมัยนั้นเพื่อร่วมกันแต่ง คำประพันธ์จารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามซึ่งถือเป็นงานใหญ่ แต่กลับไม่มีชื่อของสุนทรภู่อยู่ด้วยเรื่องนี้สุนทรภู่ได้กล่าวไว้ในนิราศภูเขาทอง ช่วงที่ชีวิตตกต่ำที่สุดนั้นผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากรมีความเห็นว่าคงจะเป็น ช่วงปี พ.ศ.๒๓๗๑ซึ่งเป็นปีที่แต่งนิราศภูเขาทอง เพราะเนื้อหาใจความหลายตอน ที่ท่านสุนทรภู่ได้พรรณนาความไว้พ.ศ. ๒๓๗๒ สุนทรภู่ได้กลับมาเป็นพระอาจารย์ ถวายพระอักษรแก้เจ้าฟ้ากลาง และเจ้าฟ้าปิ๋วอีกครั้งโดยท่านได้แต่งเพลงยาวถวาย โอวาทถวาย ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๗๔ - ๒๓๗๕ เป็นช่วงที่สุนทรภู่บวชเป็นพระโดย จำพรรษาอยู่หลายวัดนอกจากนั้นได้ออกเดินทางไปเมืองต่างๆ และได้แต่งนิราศขึ้นเช่น เมืองเพชรบุรีได้แต่งนิราศเมืองเพชร วัดเจ้าฟ้าเมืองอยุธยา เพื่อเสาะหายาอายุวัฒนะ ได้แต่งนิราศวัดเจ้าฟ้านอกจากนั้นยังได้แต่ง นิราศอิเหนาซึ่งเป็นนิราศเรื่องเดียวที่ไม่ได้ เขียนบันทึกการเดินทางแต่นำเอาเรื่องอิเหนา ตอนนางบุษบาถูกลมพายุหอบและอิเหนา ออกติดตามหาแต่งพรรณนาความตามแนวที่ท่านถนัดเพื่อถวายพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๘๒ - ๒๓๘๓ ได้เกิดนิราศสุพรรณภายหลังจากที่ท่านเดินทางไป เมืองสุพรรณบุรีโดยนิราศเรื่องนี้แต่งเป็นคำประพันธ์โคลงสี่สุภาพนอกจากนั้นยังได้แต่ง เรื่องกาพย์พระไชยสุริยาซึ่งเป็นคำกาพย์ที่ใช้สำหรับการสอนอ่าน การผันสระและตัวสะกด มาตราต่างๆ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นตำราเรียนภาษาไทยก็ได้ รวมทั้งท่านยังได้แต่งนิทาน เป็นคำกลอนเรื่องสิงหไกรภพ (ตอนจบ) และเรื่องลักษณวงศ์ขึ้นอีกด้วยเช่นกัน พ.ศ. ๒๓๘๕ แต่งเรื่องรำพันพิลาป ซึ่งนักวรรณคดีเชื่อว่าท่านสุนทรภู่ได้พรรณนาเกี่ยวกับชีวิตของท่านมี ผู้เข้าใจว่าท่านเขียนขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งผลงานชิ้นสุดท้ายทั้งนี้เพราะท่านเกิดสังหรณ์ ขึ้นมาว่าในขณะนั้นอาจจะเป็นวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านอีกทั้งยังเกิดนิมิตเป็น ความฝันนอกจากรำพันพิลาปแล้วยังได้แต่งนิราศพระประธมเมื่อคราวเดินทางไป นมัสการพระปฐมเจดีย์ |
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ชีวิตของท่านสุนทรภู่ได้กลับฟื้นมาดีอีกคำรบหนึ่งโดย ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระสุนทรโวหารเจ้ากรมอาลักษณ์ จากองค์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวในช่วงชีวิตบั้นปลายของ ท่านกลับได้รับความเจริญรุ่งเรืองเสมือนในรัชกาลที่ ๒ และได้ทำให้เกิด ผลงานขึ้นอีกหลายเรื่องได้แก่ บทละครเรื่อง อภัยนุราช เสภาพระราชพงศาวดาร บทเห่เรื่องกากี พระอภัยมณี โคบุตร และบทเห่กล่อมจับระบำเพื่อถวายเป็น บทเห่กล่อมเจ้านายที่ทรงพระเยาว์ในที่สุดบั้นปลายแห่งชีวิตก็สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. ๒๓๙๘รวมอายุได้ ๖๙ ปี ท่านสุนทรภู่ถือได้ว่าเป็นกวีสามัญชน ที่สร้างผลงานอันทรงคุณค่ามากที่สุดบทกลอนของท่านได้เป็นแบบอย่าง ที่คนไทยยึดถือมาจนถึงปัจจุบันนี้นอกจากนั้นท่านยังได้ชื่อว่าเป็นกวีเอกของโลก ท่านหนึ่งโดยองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ ที่รู้จักกันในนามของ ยูเนสโก ( UNESCO )ได้ประกาศเกียรติคุณให้เป็น บุคคลสำคัญของโลกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ในวาระที่ครบรอบ ๒๐๐ ปีเกิดของท่าน |
“ สุนทรภู่เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก ในวาระครบ 200 ปี เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2329 ” นับว่าท่านเป็นกวีสามัญชนคนแรกที่ได้รับการประกาศ เกียรติคุณเช่นนี้ | ||
สำหรับการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลสำคัญของชาติต่าง ๆ ใน โอกาสครบรอบวันเกิด หรือวันตายที่นับเป็นศตวรรษหรือ 100 ปีขึ้นไป ของยูเนสโกนี้ก็เพื่อเป็นการเผยแพร่เกียรติคุณ และผลงานของผู้มีผลงาน ดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลกของชาติต่าง ๆ ให้ปรากฏแก่มวลสมาชิก ทั้งโลก และเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ได้มีส่วนร่วมในการจัดงาน เฉลิมฉลองร่วมกับประเทศที่มีผู้ได้รับการประกาศยกย่องเพื่อก่อให้เกิด ความคุ้นเคยซึ่งกันและกันโดยอาศัยบุคคลสำคัญของชาติต่าง ๆ เป็นสื่อกลาง โดยบุคคลนั้น ๆต้องเป็นบุคคลสำคัญของชาติที่มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ในสากล เพื่อการพัฒนาด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม หรือสื่อสารมวลชน ซึ่งในส่วนประเทศไทยยูเนสโกได้มีการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคล ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก จนถึงปัจจุบันในปีนี้มีดังนี้ ฉลองวันประสูติครบ 100 พรรษา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อ 21 มิถุนายน 2505- ฉลองวันประสูติครบ 100 พรรษา ของสมเด็จพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เมื่อ 28 เมษายน 2506- ฉลองวันพระบรมราชสมภพ ครบ 200 พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2511- ฉลองวันพระบรมราชสมภพ ครบ 100 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2524 | ||
ที่มา http://www.tungsong.com/Important_Day/Phu/index.asp |
วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
การตรวจเยี่ยมโรงเรียนเพื่อรับรองโรงเรียนต้นแบบ ( โรงเรียนในฝัน )
หมวดภาษาไทย คณะครูในหมวด
1. นาย ชลอ พลรัตน์
2. นางสาว เจนติมา เกษมวิชญ์
3. นางสาว ใกล้สุข ข่ายม่าน
และนักเรียนในหมวดกิจกรรมของภาษาไทย โรงเรียนตรังรังสฤษฎ์
ผู้จัดทำภาพประมวลกิจกรรมต่างๆ
1. นาย ชลอ พลรัตน์
2. นางสาว เจนติมา เกษมวิชญ์
3. นางสาว ใกล้สุข ข่ายม่าน
และนักเรียนในหมวดกิจกรรมของภาษาไทย โรงเรียนตรังรังสฤษฎ์
ผู้จัดทำภาพประมวลกิจกรรมต่างๆ
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
กิจกรรม ศิลปินพื้นบ้านสื่อสารด้วยเพลงบอก ตอนที่ 3
เพลงบอก นิยมเล่นกันในวันตรุษสงกรานต์ เป็นการบอกกล่าวป่าวร้องให้ชาวบ้านได้ทราบว่าถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว โดยเฉพาะรายละเอียดการเปลี่ยนปี หรือการประกาศสงกรานต์ประจำปีซึ่งสมัยก่อนไม่ได้มีการพิมพ์ปฏิทินอย่างเช่นในปัจจุบัน พอถึงปลายเดือนสี่ย่างเดือนห้า ซึ่งเป็นระยะที่ชาวนาส่วนมากเก็บเกี่ยวขึ้นยุ้งขึ้นฉางเสร็จแล้ว เวลาพลบค่ำตามละแวกบ้านจะได้ยิน เสียงเพลงบอก มีการออกตระเวนตามบ้านโดยมีบุคคลซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่บ้านนั้น ๆ เป็นคนนำทาง คอยไปปลุกเจ้าของบ้านให้เปิดประตูรับ เมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตูรับ แม่เพลงก็จะขับกลอนเพลงบอกขึ้นในทันที เจ้าของบ้านจะเชื้อเชิญขึ้นบนเรือน ยกเอาหมากพลู บุหรี่ เหล้ายาปลาปิ้งออกมาเลี้ยง และจะว่าเพลงเล่นตำนานสงกรานต์ในปีนั้นให้ฟัง
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการขับร้อง
ใช้เครื่องดนตรี ๒ ชนิด คือ ฉิ่ง ๑ คู่ และกรับ ๑ คู่
แม่เพลงและลูกคู่
เพลงบอกคณะหนึ่ง ๆใช้ผู้เล่นไม่มาก คือมีเพียง ๑ คนกับลูกคู่อีก ๒ คน เป็นอย่างน้อย และอย่างมากที่สุดจำนวนลูกคู่ไม่เกิน ๔ คน แต่ที่แม่เพลงนิยมกันมากคือลูกคู่ ๓ คนเท่านั้น
คณะผู้จัดทำ
เด็กชาย ศักดิ์พันธุ์ เดชอรัญ
เด็กชายรัตนพล บรรณสาร
เด็กชายปฐมพร สินเสาวภาคย์นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ / ๓
ครูที่ปรึกษา
นายชลอ พลรัตน์
กิจกรรม ศิลปินพื้นบ้านสื่อสารด้วยเพลงบอก ตอนที่ 2
หลอดหล่อ ปานบอด
บรมครูเพลงบอก
เพลงบอก
วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
กิจกรรม ศิลปินพื้นบ้านสื่อสารด้วยเพลงบอก ตอนที่ 1
กรรม
ทุกท่านวันนี้ ท่านมาเป็นสักขีพยานของโรงเรียน
พวกเราพากเพียรเรียนมา มีความก้าวหน้าสวย
โรงเรียนดีใกล้บ้านผ่านการสมัคร เกิดการร่วมรักสามัคคี
ทุกคนยินดีพร้อมพรัก ผอ.เป็นหลักช่วย
ทั้งครูอาจารย์สอนศิษย์ ช่วยกันปลูกจิตร่วมด้วย
เพื่อให้ร่ำรวยวิชา ให้มีความก้าวหน้าไกล
มาถึงกลุ่มวิชาภาษาไทย พวกเราร่วมใจต้อนรับ
ด้วยการร้องขับเพลงบอก ใส่สัพยอกใจ
ศิลปินพื้นบ้านนานนานได้ฟัง เยาวชนรุ่นหลังฟังไว้
ของดีเมืองใต้เรานี้ ช่วยกันสดุดีหนา
กลุ่มสาระนี้มีดีหลายอย่าง เห่ชมนวลนางขนมไทย
สารทเดือนสิบใหญ่ของชาวพุทธ ที่ได้สมมุติ
มีการเล่นโขนเรื่องรามเกียรติ์ วรรณคดีการเรียนสูงค่า
สรรค์สร้างกันมาวันนี้ เพื่อให้ท่านมีสุข
ขอจงเห็นใจจงให้คะแนน ให้เราสุขแสนสบายจิต
จะได้เป็นมิตรยาวนาน หัวใจไม่พาลทุกข์
ขอบคุณมากมายท่านได้ให้โอกาส เยาวชนของชาติร่วมยุค
ที่ได้มาปลุกความคิด ให้มีชีวิตสบาย
หมวดภาษาไทยชื่นใจกรรมการ ที่ท่านให้ผ่านกิจกรรม
พวกเราพากเพียรเรียนทำ ได้จดได้จำด้วย
เพลงบอกขอลาค่อยมาพบใหม่ ผู้มีจิตใจร่ำรวย
ท่านทั่งน่ารักรูปสวย ให้ท่านร่ำรวยทอง
กิจกรรมการแสดงโขน
คณะผู้จัดทำ
เด็กชายนฤพนธ์ นุ้ยภิรมย์
นายภาคภูมิ พรหมมี
นายอภินันท์ รอดแข็ง
นายนพรัตน์ ชูทวี
นางสาววารุณี ส่งเสริม
นางสาวศิริพร สองนา
ครูที่ปรึกษา
ครูศิริ ศิริรักษ์
โขนเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงของไทยที่มีความสง่างาม อลังการและอ่อนช้อย การแสดงประเภทหนึ่งที่ใช้ท่ารำตามแบบละครใน แตกต่างเพียงท่ารำที่มีการเพิ่มตัวแสดง เปลี่ยนทำนองเพลงที่ใช้ในการดำเนินเรื่องไม่ให้เหมือนกับละครแสดงเป็นเรื่องราวโดยลำดับก่อนหลังเหมือนละครทุกประการ ซึ่งไม่เรียกการแสดงเหล่านี้ว่าละครแต่เรียกว่าโขนแทนมีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
มีกำเนิดมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๐ เรื่องที่ใช้ แสดงโขน ในปัจจุบันนี้ นิยมเพียงเรื่องเดียว คือ เรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งไทย ได้เค้าเรื่องเดิมมาจากเรื่องรามายณะของอินเดียเรื่องรามเกียรติ์เป็นเรื่องยาว ไม่สามารถ แสดงให้จบในวันเดียวได้
ลักษณะบทโขน
ประกอบด้วย
๑ บทร้อง
๒ บทพากย์
๓ บทเจรจา
ประเภทของโขน
โขนเป็นการแสดงที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มักนิยมแสดงเป็นมหกรรมบูชาเจ้านายชั้นสูงเช่น แสดงในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพหรือพระศพ แสดงเป็นมหรสพสมโภชเช่น ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และแสดงเป็นมหรสพเพื่อความบันเทิงในโอกาสทั่ว ๆ ไป นิยมแสดงเพียง 3 ประเภทคือ โขนกลางแปลง โขนหน้าจอและโขนฉาก
สำหรับโขนนั่งราวหรือโขนโรงนอกไม่นิยมจัดแสดง เนื่องจากเป็นการแสดงโขนที่มีแต่บทพากย์และบทเจรจาเท่านั้น ไม่มีบทร้อง ใช้ราวไม้กระบอกแทนเตียงสำหรับนั่ง และโขนโรงในซึ่งเป็นศิลปะที่โขนหน้าจอนำไปแสดง แต่เดิมไม่มีองค์ประกอบจำนวนมาก ต่อมาภายหลังเมื่อมีความต้องการมากขึ้น โขนจึงมีวิวัฒนาการพัฒนาเป็นลำดับ
โขนกลางแปลงนี้แสดงเรื่องรามเกียรติ์ ตอน ยกรบ ปะทะทัพเป็นพื้น เป็นการแสดงการรบกันระหว่างกองทัพฝ่ายพระรามและกองทัพฝ่ายทศกัณฐ์ เนื่องจากเป็นการจำลองการรบจึงใช้ผู้ชายเท่านั้นในการแสดง ส่วนการดำเนินเรื่องใช้เพียงการพากย์ เจรจาเท่านั้น ไม่มีการขับร้อง
สองทัพ สองประทะ โยธี สองข้าง ต่างมีบัญชาทัพ.........โยธา
ฝ่ายทศกัณฐ์ เจ้ากรุง ลงกา สั่งหมู่ อสุราให้เข้า หักโหม โจมตี
ฝ่ายองค์ พระราม ภูมี ธ สั่ง โยธีให้เข้าหักโหม โจมตี
ทศเศียรราชา ทรงพระสรวญสำราญร่าฟังปราศรัยว่าดูรามนุษย์นายลิงไพรผู้อ่อนฤทธิ์อันศรสิทธิ์ของท่านนั้นก็มิใช่เล่น แต่ก็ไม่สามารถพิฆาตเข่นฆ่าเราได้ จะชิงนางสีดากลับคืนไปอย่างไรเล่า
ว่าพลางพระจอมอสุรินทร์ ปิ่นฉัตนชัย จึงเสด็จคลาไคลขึ้นบนราชรถมณีให้คืนทัพกลับลงกามหานคร
โขนตอนยกรบเป็นตอนหนึ่งในการแสดงโขนกลางแปลง โขนกลางแปลง เป็นการแสดงโขนแสดงกลางแจ้ง บนพื้นดิน หรือกลางสนามหญ้า สันนิฐานว่าเป็นการแสดงโขนประเภทแรก จัดแสดงตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ไม่ทราบต้นกำเนิดแน่ชัด
กิจกรรมขนมเดือนสิบ
กาพย์เห่ชมขนมเดือนสิบ
ลักษณะคำประพันธ์ : กาพย์ห่อโคลง หอมยี่หร่ารสฉุน เฉียบร้อน
“สารทเดือนสิบ” เป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ของชาวปักษ์ใต้ประเพณีบุญเดือนสิบ หรือคนที่เรียกกันว่า สารทเดือนสิบเกิดจากความเชื่อในขนบธรรมเนียมประเพณีนิยม สืบทอดแนวคิดมาจากอินเดีย เชื่อว่าบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วจะกลับมาเยี่ยมญาติ หรือครอบครัวของตนในช่วงแรม ๑ คำ เดือน ๑๐ ถึงแรม ๑๕ ค่ำ ซึ่งจะมีการทำบุญทำกุศลแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้ไปทำบุญจะจัดเพื่อ หมรับ โดยจะต้องใส่พืชผักผลไม้ และที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจหลัก คือ ต้องมีขนมเดือนสิบ แต่ละชนิดนั้นจะมีความหมายแตกต่างกัน คือ
ขนมลา เปรียบเสมือนเสื้อผ้า เพื่อให้ผู้ตายสวมใส่ในนรกภูมิ
สารทเดือนสิบเราร่วม ประเพณี
บุญยิ่งใหญ่ประจำปี สืบซ้อง
อุทิศบุญทั้งกรรมดี กรรมชั่ว
บรรพชนเก่าพร้อง ลูกหลานล้วนสดุดี
เดือนสิบสองเป็นงานบุญ รำลึกคุณคนล่วงลับ
จากไปไม่หวนกลับ ล่องลอยลับดวงวิญญาณ
สารทสิบวิญญาณหวน ลูกหลานล้วนอธิษฐาน
เซ่นสรวงดวงวิญญาณ ด้วยอาหารหลายหลากมี
ขนมบ้าหยิบมาเอ่ย อย่าหลงเลยเป็นบ้านี่
เป็นขนมรสชาติดี รูปร่างนี้มีแผ่นบาง
เขาว่ามาจากชื่อ สะบ้าหรือคือรูปร่าง
รูปผลมนกลมบาง คล้ายทุกอย่างลูกไม้นี้
ขนมลาใช่ลาจาก รสถูกปากของเปรตผี
เส้นเล็กนับพันมี เหมาะเจาะดีผู้มีกรรม
ปากเล็กเท่ารูเข็ม ต้องแทะเล็มอย่างดื่มด่ำ
อดสูกูสร้างกรรม เจ็บปวดล้ำคนมีเวร
เปซัมรสล้ำเลิศ ก่อกำเนิดเกิดซ่อนเร้น
เขาเทียบเปรียบคล้ายเป็น ต่างหูเซ่นสรวงตายา
เจาะรูดูกลางกลวง คล้ายคล้ายห่วงดูแยบคาย
คิดดูรู้ความหมาย ถ่วงหูไว้ได้ชั่งใจ
ขนมเทียนห่อใบตอง ใช่เทียนน้องส่องฤทัย
โฉมงามเจ้าทรามวัย ห่อรักไว้ในหนมเทียน
เปิดดูรู้ประจักษ์ เทียนสื่อรักห่อแนบเนียน
นึกหน้าน้ำตาเทียน โด้ใจเปลี่ยนเทียนช้ำใจ
เหนียวต้มห่อใบพ้อ จำต้องห่อปิดเนื้อใน
ดังสาวพราวพร่างใจ ปกปิดไว้ได้บังตา
เชิงชายทำชู้รัก จ้องใจปักสิเหน่หา
นวลน้องหมองอุรา เจอชายบ้าตัณหากาม
ชวนชมขนมสารทเดือนสิบ ทศมาส
บุราณกาลมุ่งมาด กล่าวไว้
ลูกหลานเหลนเครือญาติ คืนเหย้า
เซ่นสรวงวิญญาณให้ ปู่ย่าตายาย
ความหมายของการเห่
เห่ หมายถึง ทำนองขับลำนำบ้างเห่เพื่อให้เคลิ้ม เช่น เห่กล่อมพระบรรทมถวายเจ้านาย
เมื่อจะทรงบรรทมบ้างเห่เพื่อผ่อนคลายเวลาพายเรือ และเพื่อให้จังหวะฝีพายให้พายเรือ
ไปพร้อม ๆ กัน เรียกว่าเห่เรือ
ตัวอย่าง กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน
พระราชนิพนธ์ โดย รัชกาลที่ ๒
โคลง
แกงไก่มัสมั่นเนื้อ นพคุณพี่เอย
ชายใดบริโภคภุญช์ พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ช้อน อกให้หวนแสวงฯ
กาพย์
มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลือนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา
เทศกาลงานบุญสารทเดือนสิบ
ขนมลา เปรียบเสมือนเสื้อผ้า เพื่อให้ผู้ตายสวมใส่ในนรกภูมิ
ขนมบ้า เปรียบเสมือน การละเล่นที่ให้ผู้ตายเล่น เช่น สะบ้า
ขนมดีซัม เปรียบเสมือนเบี้ยหรือเงินที่ ให้ผู้ตายใช้ในระหว่างใช้เวรกรรมในนรกภูมิ
ขนมกง เปรียบเสมือน เครื่องทรงหรือเครื่องประดับเพื่อให้ดูภูมิฐานและสวยงาม
คณะผู้จัดทำ
(ผู้เห่)
ด.ญ. นัฐกาน เปลี่ยนใจ
(ลูกคู่)
ด.ญ. อฐิติยา ชูมี
ด.ญ. ศศิธร ทานัง
ด.ญ. สมฤดี สาสุธรรม
น.ส. จุฑามาศ ชื่นจิต
น.ส. จิราวรรณ ศุภพันธ์
น.ส. กิ่งกาญจน์ ฉิมพลีศิริ
น.ส. รัตติกาล แพตระกูล
ครูที่ปรึกษา
นางสาวเจนติมา เกษมวิญช์
นางสาวใกล้สุข ข่ายม่าน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)